เช้าวันที่ 13 พฤษภาคม 2557 : วันนี้ตื่นสายอีกแล้ว ล่อไปแปดโมงครึ่ง เจ้าส้มแมวเหมียวมาร้องแง๊วๆอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องนอนขอเข้า เราลุกขึ้นมาเช็คอีเมลเล็กน้อย มีโน่นนั่นนี่หลายอย่างที่ต้องทำประจำวัน ในอีเมลกองนั้น มี Message มาจาก SoundCloud บริการสำหรับ Upload ตัว Audio ต่างๆเอาไว้ ก็เหมือน Youtube แต่ไอ้นี่มีแค่เสียง
ในอีเมลนั้น ถูกส่งมาจากน้องคนนึงที่ส่ง Message มาจากเพลงที่เรา Upload เอาไว้ เป็นเพลงที่เคยทำเอาไว้สมัยเรียน ม.6 ที่เซนต์คาเบรียล ใจความสรุปคร่าวๆว่า น้องได้ฟังเพลงนี้สมัยที่เรียน ม.ต้นที่เซนต์คาเบรียล และดีใจที่ได้ฟังอีกครั้ง จนตอนนี้ได้ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์เพลงไปแล้ว และเป็นแรงบันดาลใจในการที่ได้มาทำงานด้านนี้
ในวูบนั้น มันเหมือน Time Machine ที่พาตัวเองย้อนกลับไปสมัย ป.6 วันที่เรายืนดูพี่ปอนด์ ธนา ลวสุต มาเล่นคอนเสิร์ตสมัยวงไฮดร้าให้เด็กเซนต์คาเบรียลทุกคนฟัง พี่ปอนด์เองก็เป็นศิษย์เก่า และเป็นศิษย์เก่าที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเล่นดนตรีเสมอๆตั้งแต่เริ่มหัดเล่นดนตรี เราใฝ่ฝันจะเป็นโปรดิวเซอร์ตั้งแต่วันนั้นที่ยืนดูคอนเสิร์ตกลางสนามบอล ถึงจะไม่รู้ว่าโปรดิวเซอร์มันต้องทำอะไรบ้าง
แล้ว Time Machine นั้น ก็พาเราตัดกลับไปที่ตอน ม.6 ปี 2541 ปีที่เราและเพื่อนๆช่วยกันทำโปรเจคละครเพลงกันก่อนจะจบ ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างฮึกเหิม ด้วยพลังที่อยากทำอะไรเป็นอนุสรณ์แห่งการใช้ชีวิตทนถึกอึดทนมา 12 ปีในรั้วโรงเรียน
เราจำไม่ได้แล้วว่าทำไมถึงตกลงกันว่าจะทำเรื่อง Othello วรรณกรรมหนึ่งของเชคสเปียร์ จำได้แค่ว่าเราเลือกกันหลายเรื่องที่เป็นของเชคสเปียร์ ขอยกเว้นแค่ Romeo & Juliet ที่ใครๆก็ทำกันจนเกร่อ
พวกเราระดมหาทีมงาน อาสาสมัครกันทั้ง ม.6 และรุ่นน้องที่เป็นห้อง สพพ. (เป็นห้องที่เรียน ม.ปลายกันสองปีจบ) ว่าใครอยากทำหน้าที่อะไรกันบ้าง ไล่ไปตั้งแต่ เขียนบท กำกับการแสดง กำกับเวที สร้างฉาก ออกแบบเสื้อผ้า ออกแบบไฟ ทั้งหมดทั้งมวลเราจริงจังกันถึงขนาดไปเรียนคอร์สสั้นๆกัน
ตอนนั้นเราเป็นประธานชมรมดนตรี (ที่แม่งไม่ค่อยเรียนหนังสือ) ส่วนเพื่อนหัวหอกอีกหลายคนต้องไปพึ่งพาครูและมาสเตอร์หลายๆท่าน จำได้ว่าเราเถียง เราทะเลาะกับครูกันเรื่องไม่อยากให้มันเป็นละครเพลงภาษาอังกฤษเพราะมันสื่อสารยาก และสำเนียงกะเหรี่ยงของพวกเรา มันจะยิ่งชวนหลับเข้าไปกันใหญ่
แต่จนแล้วจนรอด เราก็ต้องยอม เพื่อให้งานดำเนินไปได้ เพราะมันต้องใช้ความร่วมมือและระดมทุนจากผู้ใหญ่เยอะเพื่อให้โปรเจคนี้เกิดขึ้นให้ได้ ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านั้น ละครเวทีในโรงเรียนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสนใจ และได้ทำบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง ผิดกับครั้งนี้ที่เราต้องการทำให้จริงจังที่สุด
เราได้นักแสดงมาช่วยจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์อีกหลายชีิวิต ตั้งแต่นางเอก ( ซึ่งตอนนั้นคือ โน้ต ทิพย์อาภา สมัยนั้นโน้ตเป็นนักร้องค่าย Eminer ด้วย เลยได้เปรียบที่สามารถทั้งเล่นทั้งร้องได้สบายๆ ) นางรอง ตัวประกอบ หรือแม้กระทั่งมาช่วยเขียนเพลงก็มี ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนครั้งนั้น ยังสานต่อกันจนป่านนี้
ในส่วนของเรา เรารับอาสาจะแต่งเพลงและโปรดิวซ์งานนี้ เพื่อเป็นเพลงสำหรับร้องดำเนินเรื่องทั้งหมด อีกประเด็นก็เพื่อทำเป็นเทป และขายไปพร้อมบัตร ซึ่งเราคิดว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยขายบัตรได้ง่ายขึ้น บัตรราคา 100 บาทแถมเทปด้วย มันน่าจะขายได้ เราจำไม่ได้แล้วว่าเราผลิตกันจำนวนเท่าไหร่ แต่เพื่อนสักคนนึงเป็นรับอาสาไปผลิตให้ เพราะว่าเป็นโรงงานผลิตอยู่ ส่วนปกเทป ก็เพื่อนเราเองที่ทำกราฟฟิคให้ บ้านเป็นโรงพิมพ์อีก ซึ่งตอนนั้นมันเป็นปี 2541 นึกแล้วเราว่ามันเจ๋งมากนะ
พวกเราเร่ขายกันไปตามโรงเรียนต่างๆ แยกย้ายกันไป ทำหนังสือขอเข้าไป โรงเรียนใกล้ๆนั้นทั้ง เซนฟรังต์ฯ , ราชินี อะไรประมาณนั้น จำไม่ได้แล้วว่าโรงเรียนไหนบ้าง รวมไปถึงในโรงเรียนเองก็ไล่ไปตั้งแต่ป.1 เลย บัตรก็เลยขายหมดได้ไม่ยาก
ตอนที่เราเริ่มทำเพลง ตอนนั้นเรายังไม่มีห้องอัดที่บ้าน แต่เริ่มทำงานเบื้องหลังแล้ว พอจะใช้ห้องอัดเป็นบ้าง เราจำได้ว่าเราตัดสินใจโทรหาพี่ปอนด์ ธนา ลวสุต ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้บริหารค่าย Grammy QX อยู่ พี่ปอนด์ก็ใจดีมาก ให้ยืมใช้ห้องอัดได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ คิวที่ได้มันไม่พอทำงาน เราเลยต้องระเห็ดไปทำห้องอัดอาจารย์เราเอง
เราใช้เวลาแต่งเพลงอยู่เป็นเดือนๆ มานั่งอ่านบท ดูบท แล้วกลับไปแต่ง มาเทสกับเพื่อนๆน้องๆ ดูเค้าซ้อมกันทีละฉากๆ ทำแล้วก็แก้ แก้แล้วก็เอามาซ้อมใหม่ วนไปวนมา ตอนนั้นมันคือพลังของเด็กวัยรุ่นล้วนๆ ทุกคนใส่กันเต็มที่ บางคนไปนั่งอยู่หอสมุดแห่งชาติเป็นอาทิตย์เพื่อหาข้อมูลทำเสื้อผ้า ทุกคนไม่ได้เป็นมืออาชีพ แต่ทุกคนพยายามจะเป็นมืออาชีพให้ได้ แม้แต่การสร้างฉากแต่ละฉาก ก็นั่งหาวิธีสร้างฉากกันจริงจัง เราแก้ปัญหากันทีละเปราะๆ จนถึงวันที่เราเริ่มแสดง
เราแสดงกันทั้งหมด 4 รอบ วันละ 2 รอบ มีรอบบ่ายกับรอบหัวค่ำ ประมาณทุ่มนึง พวกเราแสดงกันบนหอประชุมโรงเรียน สำหรับเรา เรารักที่นี่มาก สมัยนั้นมันยังสวย มันดูวินเทจ มันเก๋ เรานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดชั้น 2 ของหอประชุมตั้งแต่ ป.1 เราซ้อมวงโยฯที่ชั้น 3 ของหอประชุมตั้งแต่ป.6 ทุกอย่างบนนั้นมันวินเทจมาก
จำได้ว่าสมัยก่อนในหอประชุมไม่มีผ้าม่านที่ปิดหอประชุมให้มืดได้ ทั้งหอประชุมมีหน้าต่างรอบด้าน แต่พวกเราต้องการให้มันมืด.. มืดสนิทเลย เพื่อควบคุมแสงไปตามฉากต่างๆ เราหาวิธีต่างๆนานา จนสามารถช่วยกันปิดหอประชุมให้มืดได้
วันที่พวกเราเริ่มแสดงกัน พวกเราช่วยกันจุดเทียนยาวไปตามบันไดทางเดินขึ้นหอประชุม ด้านหน้าหอประชุมมีบอร์ดแนะนำตัว Staff ทุกคนที่ช่วยกันทำงานนี้ รอบหัวค่ำเป็นรอบที่ตื่นเต้นทุกสุด เพราะมันคือรอบจัดเต็ม แสงมืดให้เราได้เต็มที่ ไฟพร้อม เด็กๆและผู้ปกครองที่ซื้อบัตรทะยอยเดินกันเข้ามานั่งหลายร้อยคน
เราเองนั่งอยู่หลัง Mixer เพื่อควบคุมเสียง ติดกันคือเพื่อนที่นั่งคุม Controller เรื่องแสง จะบอกว่าตลอดการแสดงทุกรอบ พวกเรากดดันกันมาก ลุ้นให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี จนไม่มีเวลาดูภาพรวมหรือซาบซึ้งกับมัน ระหว่างที่เราคุม Mixer เราเห็นเพื่อนๆน้องๆ Back Stage วิ่งกันขาขวิด
เมื่อทุกอย่างจบลง หลายๆคนร้องไห้ออกมา มันเหนื่อยอย่างมีความสุขตลอด 6 เดือนในการทำงานนั้น มันคือประสบการณ์ชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาก หลายๆคนไปเรียนต่อในสายที่เกี่ยวข้องกับละคร หลายๆคนค้นพบตัวเองจากงานนี้ ไอ้พวกทำฉากบางคนก็อินจนไปเรียนสถาปัตฯอะไรแบบนั้น
หลักฐานจากการทำงานครั้งนั้น มันไม่มีหลงเหลือให้เห็นเท่าไหร่แล้ว พวกเรายังไม่มีมือถือให้อัดคลิป ไม่มี Youtube ไม่มี Facebook ทุกอย่างมันทำได้แค่เป็นความทรงจำเล็กๆของคนหลายสิบชีวิตในตอนนั้น
เพลงนี้อาจจะเป็นหลักฐานความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่ของพวกเราในวันนั้น ขอบคุณน้องเบ้นที่เข้ามาโพสเพื่อเตือนความทรงจำพี่ และพี่ก็จะเตือนความทรงจำตัวเองรวมถึงเพื่อนอีกหลายๆคนที่เกี่ยวข้องกับวันนั้นเอาไว้ในบล็อกนี้เหมือนกัน ก่อนที่อะไรๆมันจะหายไป
** เพลงนี้คือเพลงเอกของละคร ที่ถูกแปลเป็นเนื้อร้องภาษาไทยเอาไว้ นักร้องผู้ชายคือ เซี๊ยะ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ป.5 โน่น ตอนนี้ทำงานสร้างศิลปินที่ค่ายเพลง Kamikaze มาหลายปี ส่วนผู้หญิงคือ โน้ต ทิพย์อาภา ตอนนี้เป็นยังไงบ้างไม่รู้เหมือนกัน ส่วนเรา เลิกทำเพลงมาหลายปีแล้ว ฮาๆ**
บทความ โดย SUN
Oh my god p sun! ขนลุกมากๆๆ!