
เป็นรีวิวที่ดองเค็มมาพักนึงแล้ว (เป็นเดือนแล้วล่ะ) ตั้งแต่มีข่าวจากทาง Lomography ว่าจะมีฟิล์มตัวล่ามาแรงที่ผลิตจากฟิล์มถ่ายหนังออกมา ใช้ชื่อว่า Cine 200 Tungsten เราก็รีบแจ๋นไปสั่งของมาโดยพลัน จนของมาถึงแล้วก็ดองเค็มดองเปรี้ยวกัน คือดันไปโพสรูปเอาไว้ด้วยไง มีคนหลังไมค์มาทวงกันหลายคนว่าอยากอ่าน
เนื่องจาก Cine 200 Tungsten นี้ถือได้ว่าเป็นฟิล์มที่ผลิตจากฟิล์มถ่ายหนังเป็นตัวที่ 2 ของตลาด ตัวแรกนั่นก็คือ CineStill 800 Tungsten จากบริษัท CineStill ที่เพิ่งวางขายได้ประมาณช่วงต้นปี ซึ่งเราเคยเขียนรีวิวฉบับเต็มกันไปแล้ว คลิกกลับไปอ่านกันได้
ความฮือฮาของเจ้า Cine 200 Tungsten ก็มีหลายประเด็นอยู่ อย่างแรกคือ เป็นฟิล์มที่ผลิตโดย Lomography ขวัญใจเด็กแนว มั่นใจได้ว่ามันจะออกไปสู่ตลาดวงกว้างกว่าที่ CineStill วางขายอยู่ เพราะเจ้านั้นเค้าเป็นเจ้าใหม่ มือใหม่ในวงการ ประเด็นที่สอง ทาง Lomography ประกาศว่า เค้าสามารถผลิตได้เพียงปีละ 4,000 ม้วนทั่วโลก (ซึ่งแน่นอนว่าเหลือมาถึงไทยได้ไม่กี่ม้วน) จนเป็นที่ต้องการกันตั้งแต่มีข่าวคราวแว่วๆกันมา
ส่วนตัวเนี่ย ใช้ CineStill 800 Tungsten มาหลายม้วนแล้ว ค่อนข้างรู้แล้วว่าแนวภาพออกมาเป็นแบบไหน และส่วนตัวก็ชอบสไตล์ของโทนฟิล์มจากฟิล์มหนังอยู่แล้ว พอเจ้า Cine 200 Tungsten จะมา ก็พลาดไม่ได้หรอกนะ ตื่นเต้นๆ และที่มันจะแตกต่างแน่ๆด้วยก็คือ มันเป็นฟิล์มไวแสง ISO 200 เหมาะสำหรับกลางวัน ซึ่งการใช้งานก็น่าจะแตกต่างกันพอสมควร

ต้องขอขอบคุณทาง Lomography ประเทศไทย ที่ส่งเจ้า Cine 200 Tungsten มาแบบสดๆร้อนๆอย่างรวดเร็วทันใจ เพราะหลังจากมาถึงเมืองไทยไม่นาน ก็ Sold Out กันไปเรียบร้อย รอกันใหม่ปีหน้านะจ๊ะ T T
มาเริ่มลูบๆคลำๆกันเลยดีกว่า

เมื่อเจ้า Cine 200 Tungsten มาถึงบ้าน อย่างแรกที่น่าประทับใจยิ่งนักก็คือ แพคเกจ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของ Lomography เค้า ต้องสวยไว้ก่อน เรียกว่าไม่อยากจะแกะออกมาใช้เลยทีเดียว
ข้อมูลเบื้องต้นของเจ้า Cine 200 Tungsten เนี่ย บนกล่องก็มีคร่าวๆไว้ว่าเป็นฟิล์ม ISO 200 นะจ๊ะ ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 10c เค้าแนะนำเลยว่าให้เก็บในตู้เย็น (คาดว่าน่าจะเป็นที่ฟิล์มสต็อคพวกนี้อายุไม่ยืนแล้ว ลักษณะการเก็บเหมือนฟิล์มบูดนั่นแหล่ะ จึงต้องอาศัยตู้เย็นเป็นหลัก) ไม่มี DX Code (โค้ดที่กล้องฟิล์มยุคหลังๆจะอ่าน ทำให้กล้องรู้จักได้เลยว่าฟิล์มความไวแสงเท่าไหร่ โดยที่คนไม่ต้องไปตั้งเอง) เป็นธรรมดาของฟิล์มอินดี้ๆแบบนี้ เนื้อฟิล์มค่อนข้างหนากว่า CineStill 800 Tungsten อย่างเห็นได้ชัด

จากการสืบค้นข้อมูลกันมาก่อนจะทดสอบนะ พอดีกับว่าทาง CineStill คู่แข่งเนี่ย พอแกเห็นทาง Lomography ออกฟิล์มมาแข่ง แกก็เลยเอาชิงมาทดสอบซะก่อนแล้ว ข้อมูลที่ทาง CineStill บอกก็คือ Lomography เค้าใช้ฟิล์มถ่ายหนังที่เป็นฟิล์มสต็อคของ Fujifilm รุ่น Eterna 250T ก็ใช้ในหนังดังๆ อย่าง The Fighter ปี 2010 และ 3:10 to Yuma ปี 2007 คือเป็นรุ่นที่ไม่ฮิตมากนะ มีหนังไม่เยอะที่ใช้ฟิล์มรุ่นนี้ มันเลยน่ามีจะสต็อคไม่มาก (ตอนแรกเราได้ข่าวว่าใช้เป็น Kodak นะ แต่พอมาถ่ายดู ก็น่าจะไม่ใช่แล้ว) ในขณะที่ทาง CineStill เค้าใช้ฟิล์มสต็อคของ Kodak รุ่น Vision 3 500T ซึ่งใช้ในหนังดังๆอย่าง Captain America ภาคแรก , Gravity เป็นต้น ก็เป็นฟิล์มรุ่นที่ฮิตในวงการหนัง รวมไปถึง Vision 3 ก็เป็นต้นแบบของเทคโนโลยีฟิล์มสีรุ่นท็อปๆของ Kodak อย่าง Portra และ Ektar 100 ด้วย
เอาล่ะ.. ทีนี้ จะมารีวิวเฉพาะ Cine 200 Tungsten ก็เดี๋ยวจะเบื่อไป เราก็เลยจัดเอามาถ่ายคู่กันระหว่าง Cine 200 Tungsten และ CineStill 800 Tungsten เทียบให้ดูไปด้วยซะเลย

เราจะแบ่งการทดสอบเป็นแบบง่ายๆคือ กลางแจ้ง , ในที่ร่ม และ กลางคืน นะ โดยที่จะใช้กล้อง 2 ตัวเอาที่ระยะใกล้เคียงกันที่สุดเท่าที่มีอยู่ในมือตอนนี้ เจ้า Cine 200 Tungsten เราใช้ Voigtlander VF101 ระยะเลนส์ 40mm. ส่วน CineStill 800 เราใช้ Voigtlander Bessa R เลือกเลนส์ 35mm. และ 50mm. มาใช้ทดสอบ
โหมดกลางวัน
เรื่องกลางแจ้งนี่ เป็นสิ่งที่เราอยากทดสอบที่สุดของ Cine200 Tungsten เพราะว่าเป็นจุดที่แตกต่างที่สุดระหว่างคู่นี้ CineStill 800 Tungsten มักจะถ่ายยากกับสภาพกลางแจ้ง ถ้าแสงไม่สวยจริงก็จะไม่ค่อยน่าถ่ายเท่าไหร่ ฟิล์มเองก็ไวแสงมากๆด้วย ISO 800 ถ้าสเปคกล้องไม่ดี ก็เอาไม่อยู่อีกต่างหาก
พอเราได้ทดสอบเทียบกันระหว่างคู่นี้แล้ว เราว่านะ มันค่อนข้างจะคนละทางเลย Cine200 Tungsten ทำได้ดีนะ เกรนเนียนสวย เหมาะกับการถ่ายกลางวันสบายๆ แต่เห็นได้ชัดว่ามันให้โทนสีแบบ “ฟิล์มบูด” ชัดเจน ภาพอมฟ้าๆ สีทุกอย่างจะเบรคๆตุ่นๆไม่จัด ในขณะที่ CineStill 800 Tungsten จะออกแนวจริงจังกว่า คือ สีสดกว่า (แต่ก็อมฟ้าๆอยู่บ้าง แอบมีชมพูๆด้วย) และเรื่องความคมแล้ว CineStill 800 Tungsten ให้ภาพที่คมกว่าชัดเจน
ในส่วนของกลางวัน เราว่า Cine200 Tungsten สวยดีนะ ดูเหมือนถ่ายหนังเก่าๆ วินเทจๆหน่อย ใครชอบโทนฟิล์มบูด คงกรี๊ดกันไปเลย แต่ถ้าคนชอบสีสดๆ อาจจะบ่นได้ว่า “มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่..”






โหมดที่ร่ม
โหมดนี้ โดยปกติแล้ว CineStill 800 Tungsten จะเริ่มได้เปรียบ เพราะไวแสงกว่า ถ่ายได้สะดวกกว่า
จากการทดสอบโหมดที่ร่ม เราว่า Cine200 Tungsten มีปัญหาเรื่องมีคล้ายๆ Fog คือภาพมีปื้นๆขาวๆบางๆ (ซึ่งเป็นลักษณะที่เห็นได้กับพวกฟิล์มบูดทั่วไป) ทำให้ภาพดูค่อนข้างแบน ไม่มีไดนามิค การถ่ายในที่ร่ม ที่เห็นเงาเยอะ มีความแตกต่างของแสงและเงาเยอะ ซึ่ง Cine200 Tungsten จะเจอปัญหานี้พอสมควร แต่..มันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาให้เห็น ถ้าเลือกถ่ายในมุมดีๆ มันก็เก๋ๆเลยล่ะ (ถ่ายบ่อยๆจะเริ่มจับมุมได้ แล้วออกมาดีเลย)




โหมดกลางคืน
โหมดกลางคืนนี้ CineStill 800 Tungsten ถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ แต่เราก็ดึงเอา Cine200 Tungsten มาทดสอบด้วย เพื่อจะได้เปรียบเทียบได้ครบทุกสถานการณ์ ซึ่งผลการทดสอบนะ Cine200 ก็ทำได้ไม่เลว เกรนเนียนๆของมันยังโชว์ผลงานได้ดีในที่มืด คาแรคเตอร์ของฟิล์มยังโดดเด่น ออกโทนอมฟ้า เหมือนดูหนังสีจืดๆอยู่ เท่เลยล่ะ แต่ก็อีกแหล่ะ.. สิ่งที่ Cine200 Tungsten ไม่มีก็คือความคมและไดนามิค สำหรับคนที่ชอบความคมและมีมิติ น่าจะไม่ค่อยโปรดปรานเท่าไหร่ ยิ่งในที่มืดแล้ว โอกาสที่จะเบลอก็สูง เพราะฟิล์มความไวน้อย ISO 200 อยู่แล้วด้วย แนะนำให้ใช้กล้องที่ชัตเตอร์เบาๆ (Leaf Shutter) นะ จะช่วยให้ถ่ายในที่มืดได้ดีกว่า






สรุปผลกันสักหน่อย
จากการถ่ายในทุกสถานการณ์ เราพบว่า Cine200 Tungsten เป็นฟิล์มที่น่าสนใจกว่าที่คิด คือตอนแรกไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้มากเท่าไหร่ แต่พอได้ลองแล้ว เฮ้ย.. ไม่ธรรมดาๆ (ตอนนี้พกติดกระเป๋าไว้เผื่อเจออะไรเจ๋งๆ จะจับถ่ายซะเลย) มันดึงเอาคาแรคเตอร์ของฟิล์มถ่ายหนังออกมาได้ดี เกรนฟิล์มเนียนสวย สีที่อมฟ้าเท่ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาของ Cine200 Tungsten ก็คือขาดความคม และที่สำคัญคือไดนามิคของแสงและเงา Contrast อะไรพวกนี้ ทำให้ภาพออกมาแบนๆ
สำหรับคนที่ชอบความแปลก ภาพแนวๆเหมือนดูหนังเก่า โดยเฉพาะคนชอบฟิล์มบูด (ซึ่งดีกว่าตรงที่ไม่ต้องมานั่งลุ้นเหมือนฟิล์มบูด ว่าถ่ายติดมั๊ยฟระ..) เจ้า Cine200 Tungsten ตอบโจทย์เลยล่ะ
เราเองตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเก็บฟิล์มไว้ทั้งหมดนะ แต่พอถ่ายออกมาก็ติดใจ เก็บไว้ซะเองทั้งหมด ฮาๆๆ สำหรับใครที่อยากได้ ก็ต้องรอปีหน้านะจ๊ะ เพราะปีนี้ ของทาง Lomography เค้าเกลี้ยงไปแล้วล่ะ เสียใจด้วย.. แต่ถ้าใครอยากถ่ายฟิล์มแบบนี้ ก็คงต้องลอง CineStill 800 Tungsten กันแทนไปก่อนนะ
Cine200 Tungsten ราคาขาย ม้วนละ $9.90 หรือประมาณ 350 บาท
CineStill 800 Tungsten ราคาขาย ม้วนละ 390 บาท
รีวิว โดย SUN



ผู้สนับสนุนหลัก Husband and Wife Shop
จำหน่ายอุปกรณ์ถ่ายภาพฟิล์ม กล้อง อุปกรณ์ล้างฟิล์ม สแกนฟิล์ม และบริการต่างๆ
