“ไปอยู่ไหนมาเนี่ยยยย…ไม่รู้จักรีวิวซะตั้งนานแล้วมึงเอ๊ย!!” เสียงจากก้นบึ้งในฟากฝั่งซ้ายของความคิด กำลังบ่นไปถึงฟากฝั่งขวาของจิตสำนึกตัวเองอยู่ ในความเป็นจริงแล้วเราควรจะต้องเขียนถึงเจ้ากล้อง Rollei 35 นี่มาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้เขียนถึงมันสักที..
ในบรรดากล้องที่มือใหม่กล้องฟิล์มจะต้องสนใจเป็นอันดับต้นๆ ท็อป 5 อันดับจะต้องมี Rollei 35 อย่างแน่นอน เหตุเพราะหน้าตาอันหล่อเหลาของมัน ขนาดที่เล็กจิ้มลิ้ม วัสดุชั้นเลิศ ใช้งานยังไงนี่ก็ช่างแม่งไป ยังไงก็ยอมควักตังจ่าย วันนี้เป็นฤกษ์ดีที่เราจะหยิบเจ้ากล้องระดับตำนานตัวนี้มารีวิวให้ได้อ่านกันอย่างจริงจัง
จั่วหัวว่า “กล้องฟิล์มฟูลเฟรมที่เล็กที่สุดในโลก“ ..ฟังดูมึงโม้แน่ๆ! ก็จริง.. เขียนให้คนสนใจไปงั้นแหล่ะ 555 เฮ้ย!! มันเล็กที่สุดจริงๆนะ เพราะอันนี้มันฟูลเฟรมน่ะเว้ย!! แต่ในโลกหรือเปล่าไม่ค่อยแน่ใจ 555 เอาน่าๆ..ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะบอกเล่อ..

Rollei 35 เปิดตัวครั้งแรกในงาน Photokina เมื่อปี 1966 หรือเมื่อ 51 ปีที่แล้ว งาน Photokina นี้คืองานมหกรรมโชว์นวัตกรรมเกี่ยวกับวงการถ่ายภาพประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่มีมายาวนานถึงปัจจุบัน ซึ่งแบรนด์ Rollei ในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นแบรนด์กล้องระดับแถวหน้า (จริงๆเขาดังมากๆก็ช่วงยุค ’30-60’s กับเจ้ากล้อง Rolleiflex จนกลายเป็น Generic กล้องชนิดหนึ่งไปเลย) ทาง Rollei เปิดตัวกล้อง Rollei 35 ในฐานะของกล้องฟิล์ม 35mm ที่เล็กที่สุดในโลก ( ณ วันนั้น) โดยที่ถ่ายออกมาเป็น Full frame ด้วย ซึ่งสวนทางกับในยุคนั้นที่มักนิยมผลิตกล้องแบบ Half-frame กันมากๆเพราะฟิล์มสีราคาแพงอยู่
ช่วงยุค 1960s นั้น เป็นช่วงที่ตลาดกล้องเทไปที่ญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยเฉพาะแบรนด์ Olympus ซึ่งผลักดันตลาดด้วยกล้องที่ถ่ายเป็น Half-frame คือได้ภาพเป็นสองเท่าของฟิล์ม 35mm ปกติ แถมยังเล็กพกพาสะดวกด้วย เพื่อกระตุ้นให้คนทั่วไปหรือผู้หญิงหันมาใช้กล้องกันมากขึ้น เป็นจุดที่ทำให้ทางฝั่งยุโรปอันเป็นเจ้าตลาดเดิมนี่ซึมกันไปเลย
Heinz Waaske มีอาชีพเป็นวิศวกรเครื่องกล มองเห็นว่าถ้าเกิดแกสามารถสร้างกล้องที่มีขนาดเล็กมากๆแต่ยังสามารถถ่ายภาพด้วยฟิล์ม 135 ได้แบบ Full frame และราคาไม่แพง มันก็น่าจะได้รับความนิยมไม่แพ้พวก Half-frame ของฝั่งญี่ปุ่นเป็นแน่ ว่าแล้ว.. Waaske ก็ใช้เวลาว่างๆจากงานหลักที่แกมีอาชีพเป็นวิศวกรออกแบบมานั่งออกแบบกล้องในฝันของเขาเอง รวมถึงใช้ทุนของตัวเองในการออกแบบด้วย,ด้วยกล้องนี้คุณสามารถถ่ายภาพเมื่อขับรถหรือแม้กระทั่งขณะขับขี่ roller สกูตเตอร์
การออกแบบที่ต้องรื้อวิธีการเดิมๆของกล้องฟิล์ม 35mm ทั่วไปออก ทำให้เจ้า Rollei 35 มีส่วนประกอบที่ไม่ธรรมดาเต็มไปหมด เพราะมันมีขนาดเล็กกว่ากล้องทั่วไปมาก แถมยังต้องทำให้ถ่ายได้เหมือนกล้องตัวใหญ่ๆด้วย เมื่อ Waaske ออกแบบเสร็จแล้ว แกก็เที่ยวตระเวนนำเสนอกับแบรนด์กล้องใหญ่ๆในยุโรป ทั้ง Leica และ Kodak แต่ก็ไม่มีใครเอาด้วยกับแกเลย จนปี 1965 Wasske ได้เข้าไปทำงานใน Rollei ที่เยอรมัน และบังเอิญว่าเจ้าของเกิดไปเห็นกล้องต้นแบบของแก จนกลายเป็นจุดกำเนิดกล้อง Rollei 35 สู่สาธารณชน
กล้อง Rollei 35 ถือว่าเป็นกล้องที่ใช้ส่วนประกอบจากบริษัทชั้นนำของโลกในยุคนั้นหลายต่อหลายชิ้น อย่างเช่นเลนส์นี่ก็ใช้ Tessar ของบริษัท Zeiss ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเลนส์ที่ดีแบบฟัดเหวี่ยงกับ Leica เสมอมา หรือส่วนของตัววัดแสงที่ให้บริษัท Gossen บริษัทที่ผลิตเครื่องวัดแสงชื่อดังของเยอรมัน เป็นคนผลิตให้
เจ้ากล้อง Rollei 35 ในล็อตแรก (ประมาณปี 1966-1970) ยังคงเป็นการผลิตที่เยอรมันอยู่ จนกระทั่งปี 1970 Rollei มีการย้ายฐานการผลิตไปที่สิงคโปร์เพื่อให้ได้จำนวนมากขึ้นและถูกลง โดยมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนบางอย่างนำเข้าจากญี่ปุ่นแทน ทำให้ราคาขายของ Rollei 35 ถูกลงไปอีก
…เล่ามาหลายย่อหน้านี่เพื่อ!!.. เขียนให้มันดูมีสาระไปงั้นแหล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นคนไม่จริงจัง
แนะนำตัว
กล้อง Rollei 35 ไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือฟังก์ชั่นอะไรพิสดารไปมากกว่านวัตกรรมความเล็กกระทัดรัดของมันเลย เรียกว่าโคตรพื้นฐานการถ่ายภาพสุดๆ มันเป็นกล้องแบบกะระยะ (Zone Focus) หมายถึงว่า Viewfinder ทำหน้าที่แค่กระจกเปล่าๆให้เราจัดวางองค์ประกอบภาพ และการโฟกัสเราต้องเป็นคนกะระยะเองว่าสิ่งที่จะถ่ายนั้นห่างไปจากเราเท่าไหร่?
เลนส์ที่ใช้มีความคมมาก และระยะก็ถือว่า Wide กว่าปกติที่ใช้ในยุคนั้นเล็กน้อยคือ 40 mm (ในยุคนั้นฝั่งยุโรปจะนิยมระยะ 50 mm) เป็นเลนส์ Zeiss Tessar 3.5/40mm 4 ชิ้นเลนส์ ปรับรูรับแสงได้ตั้งแต่ f/3.5 – f/22 ส่วนความเร็วชัตเตอร์อยู่ที่ 1/2 sec ไปถึง 1/500 sec และมีชัตเตอร์ B ให้ด้วย ถือว่าครอบคลุมเพียงพอกับงานทั่วไปแล้ว
ตัววัดแสงจะเป็น CdS ที่อยู่ด้านหน้ากล้อง ไม่ได้วัดผ่านเลนส์แต่อย่างใด ทำให้มันก็ไม่ได้แม่นยำเป๊ะๆอะไรมากนัก ใช้วัดได้โดยประมาณเท่านั้นเอง และถ้าอยู่ในที่แสงน้อยหน่อยก็หมดสิทธิ์วัดแสงเช่นกัน ต้องใช้กะๆเอานะ ISO ปรับได้ตั้งแต่ 25 – 1600
สำหรับการตัดสินใจซื้อ จะเจอชื่อรุ่นของมันมากมาย อันนี้ก็เป็นคำถามสุดฮิตเช่นกัน “พี่คะ.. S คืออะไร T คืออะไร” รหัสย่อมึงเยอะเหลือเกิ๊น.. ชอบย่อกันจํ๊งงง เข่าเสื่อมหมดแล้ว เอ๊า..เอาเป็นว่ามาอธิบายกันหน่อยว่าไอ้รุ่น Rollei 35 T , Rollei 35 S , Rollei 35 TE , Rollei 35 SE ฯลฯ มันคืออะไรกันบ้าง เพราะ Rollei 35 ถูกผลิตและพัฒนาต่อมาอีกถึง 30 ปีหลังจากที่มันเกิดขึ้นมา (และราคาก็กระโดดขึ้นในรุ่นหลังๆด้วย) เราจะอธิบายความแตกต่างไว้ง่ายๆ อาจจะไม่ได้ครบไปซะหมดแต่ครอบคลุมสเปคหลักๆ
การใช้งาน
เอาจริงๆแล้วเวลาใครถามเรื่องกล้อง Rollei 35 เรามักจะถามก่อนว่า ‘เข้าใจพื้นฐานการถ่ายรูปแค่ไหน? เข้าใจมั๊ยว่ารูรับแสงคืออะไร? เข้าใจว่าความเร็วชัตเตอร์คืออะไร? และที่สำคัญคือกะระยะเป็นมั๊ย?’ ถ้าเกิดยังไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานพวกนี้แล้ว เราขอแนะนำเลยว่า.. ผ่านไปเห๊อะ! เห็นเจ็บกันมาเยอะแล้ว ซื้อมาเสร็จก็บ่น แป๊ปๆขายต่อ ก็เข้าใจนะว่าด้วยหน้าตาของมันที่ดูดีเกินห้ามใจ เปรียบได้กับหนุ่มหล่อที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ..รู้ทั้งรู้ แต่สาวๆก็ยอมอกหักกันอยู่นั่นแหล่ะ
เอาล่ะ..มาดูการใช้งานกันหน่อยดีกว่า จริงๆแล้วถ้าเกิดเข้าใจพื้นฐานการถ่ายภาพแล้วเนี่ย..เจ้านี่ถือว่าถ่ายสนุกเอามากๆเลยล่ะ เริ่มต้นที่การใส่ฟิล์มกันก่อน ลักษณะการใส่ฟิล์มนี่ยังเป็นแนวๆกล้องเล็กยุค ’60s อยู่ ด้วยเพราะมันมีขนาดเล็กมาก การทำฝาในลักษณะถอดมาทั้งดุ้นจะช่วยให้ประหยัดพื้นที่ได้มาก
การใส่ฟิล์มนี่ต้องระวังนิดนึง เพราะเรามักเจอคนมาบ่นเรื่องปัญหาว่าใส่ฟิล์มไปแล้วฟิล์มไม่เดิน ถ่ายวืดไปทั้งม้วนอยู่บ่อยๆ
“เอ๊ะ..พี่ หนูถ่ายมาแล้วจริงๆนะคะ ทำไมล้างฟิล์มมาแล้วมันไม่มีภาพ”
“ห่วยจริงๆเลย..”
“กล้องเหรอคะ..”
“แกนั่นแหล่ะ!!.”
เพราะฉะนั้น…ให้ระวังจุดสำคัญคือเมื่อเสียบหัวฟิล์มเข้าไปในช่องเสียบฟิล์มแล้ว สังเกตตรงหนามเตยที่เกี่ยวฟิล์มนี่แหล่ะให้มันตรงแน่ๆ แล้วค่อยเอาตัวทับฟิล์มทับลงไป จากนั้นก็ปิดฝาหลังกล้องได้


อีกจุดที่สำคัญก็คือ เวลาขึ้นฟิล์มไปสัก 2-3 ทีแล้ว ด้านล่างตรงตัวหมุนแกนฟิล์มมันหมุนตามหรือเปล่า? ถ้าไม่หมุนนี่ให้สันนิษฐานเลยว่าฟิล์มหลุดแน่..

ปัญหาอีกอย่างคือเวลาถ่ายๆไปจะหมดม้วน ให้ระวังนิดนึงเรื่องการขึ้นฟิล์ม เพราะเจอหลายเคสแล้วว่าขึ้นฟิล์มตอนภาพสุดท้ายมันดันไปดึงจนฟิล์มขาดเลย.. เดาว่ากลไลมันแคบมากทำให้มีแรงดึงสูง เพราะฉะนั้นเบาๆมือยั้งๆมือหน่อยตอนภาพแถวๆสุดท้าย
พอใส่ฟิล์มเสร็จอย่าลืมปรับ ASA (หรือ ISO นั่นแหล่ะ) ให้ตรงกับฟิล์มที่ใช้เพื่อให้ตัววัดแสงของกล้องทำงานได้ตรง เวลาจะถ่ายภาพเราก็เริ่มจากดูระยะของ Subject ที่เราจะถ่ายก่อน กล้องตัวนี้ถ่ายได้ใกล้สุดแค่ 90 cm ไอ้เรื่องกะระยะนี่อยากให้ฝึกกันบ่อยๆนะ มันไม่ยากอย่างที่คิดหรอก วิธีฝึกตอนแรกๆของเราคือให้จำระยะ 1 เมตรของตัวเองให้ได้ก่อน อย่างเราจะรู้ว่าจากไหล่ข้างนึงไปถึงปลายมืออีกข้างนึงของเราจะมีความยาวประมาณ 1 เมตร ทีนี้ก็มองออกไปสิว่า จากตัวเราไปถึงสิ่งที่เราจะถ่ายนี่มันกี่ช่วงแขน ถ่ายบ่อยๆเราก็จะจำได้เอง ส่วนช่องมองภาพเป็น Viewfinder เฉยๆเลย ก็คือเป็นกระจกใสๆให้เราเอาไว้วางองค์ประกอบภาพแค่นั้น
การที่กล้อง Rollei 35 มีค่ารูรับแสงกว้างสุดแค่ f/3.5 ก็เพราะว่าการกะระยะอาจจะผิดพลาดได้ง่าย การที่รูรับแสงแคบจะช่วยให้ระยะความชัดมันค่อนข้างครอบคลุม สมมติเราใช้ f/5.6 หรือ 8 อะไรแบบนี้ความคมจะครอบคลุมจากระยะโฟกัสของเราได้กว้างไกล คมชัดแน่นอน ไม่วืด

จากตัวอย่างตามภาพนี้จะเห็นว่า ถ้าเราปรับ f/8 (ในวงกลมสีเขียว) และความเร็วชัตเตอร์ 1/500s วัดแสงตรงเรียบร้อยแล้ว มาดูที่การโฟกัส ลูกศรสีเหลืองจะเป็นสเกลบอกว่า ถ้าเราปรับ f/8 แล้วนั้น (ดูที่เลข 8 จากด้านซ้ายไปด้านขวา) แล้วเราปรับโฟกัสไปที่ 2 เมตร (เลข 2 สีแดงตรงกับตรงกลางรูปสามเหลี่ยม) ระยะโฟกัสที่จะชัดทั้งหมดคือตั้งแต่ 1.5 เมตร ถึง 3 เมตร !! โอ้โห โอกาสโฟกัสเข้าได้ตั้งกว้าง 1.5 เมตรเลยนะ โฟกัสผิดก็แย่แล้วล่ะ เห็นมั๊ย..พออ่านสเกลได้แล้วง่ายมากเลย
ส่วนการปรับค่ารูรับแสงกับความเร็วชัตเตอร์ก็อาจจะแปลกไปจากกล้องตัวอื่นๆสักหน่อย แต่ก็ค่อนข้างสะดวกอยู่ไม่น้อย มันจะเป็นวงกลมสองวงอยู่ด้านซ้ายและขวาของเลนส์ ด้านขวาจะเป็นรูรับแสง ส่วนด้านซ้ายจะเป็นความเร็วชัตเตอร์ ไอ้ด้านซ้ายนี่ไม่เท่าไหร่ แค่หมุนๆมันก็ไปได้ แต่ไอ้ด้านขวาที่เป็นรูรับแสงนี่ กล้องจะมีตัวล็อคเอาไว้ด้วย เวลาจะปรับนี่จะต้องปลดตัวล็อคแล้วถึงหมุนได้ เราเดาเอาว่าเพราะเวลาถ่าย นิ้วมือด้านขวาของเรามักจะไปโดนแถวๆนั้น ถ้าไม่ล็อคไว้ก็จะทำให้ไปเลื่อนไม่รู้ตัว (นี่ขนาดมีตัวล็อคก็ยังเลื่อนได้เลยนะ)
เวลาที่เราปรับค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ เราก็ดูตัววัดแสงไปด้วย ถ้าเป็นรุ่น Original แบบที่วัดแสงยังเป็นเข็มนี่ก็ต้องดูที่เข็มสีขาว มันจะวิ่งไปตามแสงที่วัดได้ หน้าที่ของเราก็คือปรับค่าให้สัมพันธ์กัน ถ้าวัดแสงตรงก็คือไอ้เข็มส้มๆมันจะไปทับเข็มสีขาวพอดีนั่นแหล่ะ แค่นี้เลย แต่ถ้ารุ่นวัดแสง LED นี่ยิ่งสบาย ดูในช่อง Viewfinder มันจะมีปุ่มไฟสีๆ 3 ปุ่ม ซ้ายกะขวาคือไฟแดงแสดงผล Under/Over ถ้าตรงเมื่อไหร่มันก็เป็นสีเขียวตรงกลาง
สำหรับเราแล้ว กล้องตัวนี้ใช้งานถนัดเราเลย เพราะปกติถึงเราจะใช้ Leica M6 อยู่ แต่ลักษณะการถ่ายของเราก็เป็นการกะระยะและ Manual อยู่แล้ว ทำให้มันแทบไม่ต่างจากที่เคยใช้อยู่ อาจจะติดนิดนึงที่ถ้าเรากำลังส่อง Viewfinder อยู่ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตอนนี้โฟกัสอยู่ที่ระยะไหน ปกติพวกเลนส์มือหมุนที่ใช้กับ Leica ส่วนใหญ่จะมี lens tab ทำให้เรารู้ระยะได้จากนิ้วที่จับอยู่
ส่วนเรื่องที่ไกขึ้นฟิล์มอยู่ด้านซ้ายมือแทนที่จะอยู่ด้านขวาอย่างชาวบ้าน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าไม่สังเกตนี่ก็ไม่ได้นึกหรอกว่า อ่าว…แม่งอยู่ด้านซ้ายนี่หว่า ชัตเตอร์ก็นุ่มมาก นุ่มทั้งการกดและเสียง เหมือนกล้องพรีเมี่ยมๆระดับ Leica เลยทีเดียว นุ่มและเบาตามสไตล์ยุโรปเหมือนได้ขับรถสปอร์ตคลาสสิคปานนั้น

ฟังก์ชั่นที่น่ารักและเป็นสไตล์เฉพาะของ Rollei 35 ที่ใครๆก็ชอบและทุกคนจะต้องมึนๆในตอนแรกก็คือการพับเลนส์เก็บเข้าออกได้ วิธีจริงๆมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอก เวลาจะใช้ก็ดึงเลนส์ออกมาแล้วบิดเข้าล็อค แต่ไอ้เวลาเก็บกลับนี่คือต้องขึ้นฟิล์มก่อน แล้วกดปลดล็อคเป็นปุ่มอยู่ข้างๆชัตเตอร์ แล้วก็พับเก็บลงไปเลยแค่นี้เอง เก๋มากเนอะ!

การใช้แฟลชเป็นอีกจุดเด่นสำหรับเราเลยนะ เพราะมันใช้ leaf shutter ทำให้การ sync กับแฟลชเป็นไปได้ด้วยดีในทุกความเร็ว เราสามารถถ่ายแฟลชด้วยความเร็วชัตเตอร์ 1/500s เลย!! เยี่ยมมาก!! เพราะปกติ Leica นี่ทำได้แค่ 1/50s ไอ้บ้า! 10 เท่า! และความแปลกคือ hot shoe มันอยู่ใต้กล้อง ซึ่งเลยได้ทิศทางแสงอันแปลกประหลาดหน่อยๆ แต่เจ๋งดีนะ เราชอบ 555

ผลงานการถ่ายจากกล้อง Rollei 35
ลองดูผลงานต่อไปนี้ที่เราเดินถ่ายเล่นๆเรื่อยเปื่อย ใช้ฟิล์ม Fujicolor X-tra 400 ล้างและสแกนโดย Husband & Wife Shop (ตรูเนี่ยแหล่ะ)








สรุป
กล้อง Rollei 35 เป็นกล้องที่ดีเหลือเชื่อมากๆ ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดในยุค ’70s เอาซะเลย สีสัน ความคมอะไรนี่ไม่น้อยหน้าการใช้กล้องฟิล์มระดับแถวหน้าทั้งหลาย ส่วนตัวชอบกว่าพวกกล้องพรีเมี่ยมคอมแพคหลายๆรุ่นซะอีกนะ นี่ขนาดเลนส์ Tessar บางคนก็ว่าเวลาถ่ายภาพสีมันเฉยๆ และชื่นชมตัว Sonnar ในรุ่น S มากกว่า แต่เราว่าไม่จริงนะ..มันดีเหมือนกันเลยแหล่ะ ขึ้นอยู่กับการวัดแสงให้ถูกต้องมากกว่า สำหรับขาวดำนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย โคตรดี..
เรื่องการใช้งานสำหรับเราสะดวกนะ แม้ว่ามันจะเล็กและจับไม่ถนัดไปบ้าง (มือด้านขวาที่มักจะไปโดนที่ปรับรูรับแสง) แต่ก็อยู่ในเกณฑ์โอเค เหมาะกับคนที่ถ่ายสตรีทอย่างเรามากทีเดียว (แต่ก็ต้องเข้าใจเรื่องการใช้กล้องเมนวลและการกะระยะอย่างที่บอกไป) จนบางทีก็อยากจะวาง Leica ไว้ที่บ้านแล้วเอาแต่เจ้านี่ไปเดินถ่ายก็พอแล้ว
ส่วนตัวจะติดก็คงระยะเลนส์ 40 mm สำหรับเรามันแคบไปหน่อยเมื่อออกไปเดินถ่ายสตรีท เต็มที่ที่รู้สึกสบายคือ 38 mm จะให้ดีก็ 35 mm นั่นแหล่ะ แต่ก็ไม่ขี้เหร่นะ สำหรับบางคนก็อาจจะชอบเลยก็ได้ อันนี้แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน จำไว้ว่าไม่มีวันที่เราจะได้กล้องที่เราต้องการทุกอย่างอยู่ในตัวเดียวอย่างแน่นอน!! (แม่งนัดกันผลิตอ่ะพวกแบรนด์กล้องเนี่ย)
ข้อดูอีกข้อสำหรับสายประหยัดคือ ถ้าใส่ฟิล์มดีๆนี่มันถ่ายไปถึง 39-40 ภาพต่อม้วนแบบสบายๆเลย ด้วยความที่มันเล็กมากนี่แหล่ะ ประหยัดไปได้หลายบาททีเดียว
ส่วนเรื่องราคาเริ่มต้นที่พบเห็นได้นี่ก็ตัว Rollei 35 ผลิตในสิงคโปร์ควรจะอยู่ที่ราวๆ 4 พัน+ ส่วนรุ่นอื่นๆมันก็จะสูงขึ้นไปๆยันเป็นหลายหมื่นก็มี อันนี้ตามอัธยาศัย แต่เราว่าคุณภาพมันเหมือนกันหมดนะ อย่าไปบ้าจี้ตามการปั่นราคาตลาด เอาที่เรามีตังดีกว่า
รูปร่างหน้าตา // ★★★★★
(เพอร์เฟค..)
วัสดุ // ★★★★★
(เกรดเอเลยอ่ะนาย..)
คุณภาพการถ่าย // ★★★★★
(ไม่รู้จะตัดคะแนนตรงไหนเลยว่ะ.. )
ฟังก์ชั่น // ★★★★☆
( อ่ะ..ตัดคะแนนเรื่องวัดแสงหน่อยละกัน )
คุ้มค่า? // ★★★★★
(สุดอ่ะ..)
รีวิวโดย SUN



ผู้สนับสนุนหลัก Husband and Wife Shop
จำหน่ายอุปกรณ์ถ่ายภาพฟิล์มกล้องอุปกรณ์ล้างฟิล์มสแกนฟิล์มและบริการต่างๆ

3 Comments Add yours