ใครจะไปเชื่อว่า กล้องฟิล์มที่เคยถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นพวกหลงยุค “นี่มันยุคดิจิตอลแล้วเว้ยย!” และแบรนด์ที่ลาโลกไปสิบกว่าปีอย่าง Polaroid จะกลับมาผลิตกล้องและฟิล์มกันใหม่ แต่ที่สำคัญ…คือคนที่ซื้อน่ะ.. วัยรุ่นทั้งนั้นเถอะคุณ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 บริษัท Polaroid ประกาศหยุดผลิตฟิล์ม Polaroid ทั้งหมดอย่างเป็นทางการ (ก่อนหน้านั้นคือหยุดผลิตกล้องไปแล้ว) นำมาซึ่งคราบน้ำตาของเหล่าคนรัก Polaroid แต่ก็มีพวกเนิร์ดพวกนึง ไม่ปล่อยให้เป็นแค่ความเศร้าใจ พี่แกกลับลุกขึ้นเดินกำตังค์ไปซื้อเครื่องผลิตฟิล์มต่อจาก Polaroid ที่ไม่ใช่ราคาบาทสองบาท แต่ในราคา 3.1 ล้านดอลล่าห์!!! ไม่เนิร์ดอย่างเดียว แม่งรวยมากด้วย..
พวกเขาได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “โครงการเป็นไปไม่ได้” หรือ “Impossible Project” (จะแปลทำไม…) ทำการผลิตฟิล์ม Polaroid ออกมาขายต่อไปในชื่อ “โครงการเป็นไปไม่ได้” หรือ “Impossible Project” (ก็ยังเล่นซ้ำ) และยังเอากล้อง Polaroid เก่าๆมาซ่อมขายด้วย
ฟังดูไม่น่ารอดได้เลยใช่มั๊ย…แต่… โทษที… พวกเค้าดันรอดว่ะ..
ปี 2017 พวกบ้านั่น..ดันขายฟิล์มได้เป็นล้านกล่องจนมีตังค์กลับไปซื้อหุ้นบริษัท Polaroid ได้สำเร็จอีกต่างหาก!! เลยเป็นผลพวงไปสู่การผนวกเอา Impossible Project เข้าไปฟื้นฟู Polaroid ซะใหม่ และในที่สุด…

กล้อง Polaroid OneStep 2 ก็ถือกำเนิดขึ้นในปีนี้! กล้องรุ่นนี้เคยผลิตออกมาในชื่อ Polaroid SX-70 OneStep (คือมันมี OneStep หลายรุ่นนะ ไอ้ตัวแรกคืออันนี้) ผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1977 หรือ 40 ปีที่แล้วพอดิบพอดี แต่รุ่นแรกสมัยนั้นยังไม่มีแฟลชในตัว ต้องใช้แฟลชเสริมแบบ Blub (เป็นหลอดๆเหมือนหลอดไฟ ถ่ายทีก็หลอดระเบิดที) มันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยเทคโนโลยียุคนี้ จนมันกลายเป็นกล้องภายใต้แบรนด์ Polaroid ที่ฟื้นคืนจากหลุมอันยาวนานเป็นสิบปี
แล้วมันมีดียังไง???
กล้อง Polaroid OneStep จริงๆแล้วเป็นกล้อง Polaroid รุ่นใช้ง่ายๆที่ฝรั่งเรียกว่า Point and Shoot เล็งแล้วยิง พ่อแม่ก็ใช้ได้ ลูกก็ใช้ดี ไม่ต้องคิดมาก กดอย่างเดียวจบ! อาจจะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่คูลมั่กๆ ถือเป็น signature รุ่นหนึ่งของ Polaroid เลย (ไอ้แถบสายรุ้งๆนั่น ต้องเคยผ่านตากันบ้างล่ะ อย่างน้อยก็ยุคแรกของ Instagram) พวกเขาเลยเลือกเจ้านี่มาปลุกวิญญาณกันเป็นตัวแรก
เจ้า OneStep 2 มันก็มีลักษณะการใช้งานไม่ต่างจากรุ่นพ่อของมัน เพียงแต่มีอะไรที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยนี้มากขึ้น เช่น มันสามารถเสียบชาร์ตผ่าน USB ได้ด้วย! แล้วก็มีให้เลือก 2 สี เดิมมันคือสีขาว ก็เพิ่มสีเทาแมนๆมาอีกสีนึง ที่สำคัญอีกข้อคือ ราคาถูก
มาดูสเปคกัน
แม้ว่าทาง Polaroid จะไม่ยอมบอกสเปคเป็นตัวเลขทางเทคนิคชัดๆ คือบอกแต่ฟังก์ชั่นมาอย่างเดียวเลย เหมือนจะบอกเป็นกลายๆว่า “พวกมึงไม่ต้องคิดมาก กดถ่ายแล้วจ่ายตังค่าฟิล์มอย่างเดียวพอเว้ย” แต่เราก็ยังอยากรู้อยู่ดี เพราะจะเป็นประโยชน์ในการใช้งาน ซึ่งก็ต้องบอกว่าสเปคที่เป็นตัวเลขบางตัวคือการคาดเดานะ ไม่ใช่ทางการ
- เลนส์แบบตายตัว (Fixed-Lens) ที่มีรูรับแสง (โดยการเทียบกับรุ่นเก่าๆ) f/14.6 – เป็นไปได้ว่าอาจจะใช้ f ที่แคบมากกว่า 14.6 ด้วยซ้ำ เพราะระยะใกล้สุดได้มากกว่ารุ่นเก่า
- ความเร็วชัตเตอร์ (อันนี้เทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียง) 1/3 – 1/200 sec
- ระยะเลนส์ 106mm
- ระยะโฟกัสตั้งแต่ 60 cm ถึง Infinity
- ปรับค่า EV +/- 0.5
- มีแฟลชในตัว และสามารถบังคับให้ไม่ยิงแฟลชได้
- ตั้งเวลาถ่ายได้ (8 วินาที)
- แบตเป็น Lithium-ion ชาร์ตผ่านสาย USB
- น้ำหนัก 440 กรัม
- ใช้ฟิล์ม Polaroid i-Type หรือ Polaroid 600
เอาล่ะ..มาดูการใช้งานกัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันเกิดมาด้วยคุณสมบัติ Point and Shoot ใช้ง่ายแบบไม่ต้องคิด กดแม่งอย่างเดียว (แต่จริงๆมึงต้องคิดหน่อยนะ.. เพราะฟิล์มแพง) เพราะฉะนั้นการออกแบบมันเลยง่ายมากๆ
ก่อนอื่นเลยก็คือต้องชาร์ตแบตก่อน ซึ่งก็ชาร์ตได้ทั้งปลั๊กทั่วไป เสียบกับคอม หรือไปเสียบกับพวก Power bank ก็ได้เหมือนกัน (แต่กว่าจะเต็มก็ช้ากว่า) โดยปกติแล้วจะใช้เวลาชาร์ตประมาณ 2 ชม. แต่พอชาร์ตแล้วเนี่ย… คือใช้ได้ยั๊นลูกโตเลย เค้าเคลมว่า 60 วัน หรือเทียบเท่าการถ่ายประมาณ 15-20 กล่อง ( 150 – 160 รูป )
สมัยก่อน กล้อง Polaroid จะไม่มีแหล่งไฟในตัว เลยต้องไปอาศัยแบตที่อยู่ในฟิล์ม ทำให้ฟิล์ม Polaroid มันมีราคาแพงนั่นแหล่ะ ปัจจุบันเจ้ารุ่น OneStep 2 นี่ก็เลยสามารถใช้ฟิล์มรุ่นใหม่ที่เรียกว่า i-Type ได้ ไอ้ฟิล์มรุ่นนี้จะไม่มีแบตมาด้วย เลยราคาถูกกว่าฟิล์มรุ่นดั้งเดิม (แต่ OneStep 2 ก็ใช้ฟิล์มรุ่นดั้งเดิมได้เหมือนกัน)
การใส่ฟิล์มก็ง่ายๆ เปิด On ที่กล้องซะก่อน แล้วก็เปิดฝาใส่ฟิล์มเข้าไป กล้องมันก็จะคายใบปิดฟิล์มแผ่นแรกออกมา สังเกตที่ไฟ LED ด้านบนกล้องจะแสดงจำนวนฟิล์มที่ถ่ายได้คือ 8 รูป เป็นอันเริ่มต้นใช้งานได้


โดยปกติแล้วกล้องจะมี Infrared เพื่อทำการวัดแสงให้อัตโนมัติ เราก็มีหน้าที่กดถ่ายอย่างเดียว ซึ่งทาง Polaroid มักจะย้ำว่าให้ถ่ายโดยเปิดแฟลชเสมอ เนื่องด้วยกล้องมันมีรูรับแสงที่แคบมากนั่นแหล่ะ เมื่อรูรับแสงแคบ ถ้าอยู่ในที่แสงไม่สว่างมากๆจริงๆ ความเร็วชัตเตอร์ก็จะช้า มีโอกาสภาพไหวเยอะนั่นเอง
แต่ถ้าเราเข้าใจกล้องดีพอ เราก็สามารถเล่นอะไรได้เยอะพอสมควร เพราะทาง Polaroid ก็เตรียมฟังก์ชั่นให้เราได้ปรับอะไรไว้ได้บ้าง เช่น ปุ่มบังคับให้ปิดแฟลช ในกรณีที่ไม่อยากได้แฟลชจริงๆ , การปรับ EV +/- 0.5 ทำให้เราปรับให้ภาพสมดุลได้มากขึ้น
จากการใช้งาน เราอยากจะแนะนำการถ่ายคร่าวๆเป็นกลยุทธเล็กๆน้อยๆดังต่อไปนี้
- ถ้าอยู่ในสภาพแสงจ้ามาก เช่น แดดเปรี้ยงๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าฟิล์ม Polaroid มันมีค่าไวแสง ISO 640 ดังนั้น โอกาส Over มีสูง ( ถ้าคิดจากหลักการ SUNNY 16 การที่กล้องใช้ f/14.6 ความเร็วชัตเตอร์ 1/200 และฟิล์ม ISO 640 ในเวลาแดดดีๆมาก น่าจะ Over ได้ 1-2 Stop เป็นอย่างน้อย ) ……ดังนั้น แนะนำให้ปรับ EV ไปที่ – ไว้ก่อนได้เลย ไม่ต้องคิดมาก ถ้าอยากให้ภาพมีรายละเอียด
- ในทางตรงข้าม ถ้าอยู่ในแสงร่มๆหน่อย หรือในอาคารที่มีแสงแดดเป็นแหล่งแสงหลัก แล้วไม่อยากยิงแฟลช ก็ควรปรับ EV ไปที่ + (อันนี้ต้องแล้วแต่สภาวะแสงหน้างาน และความชอบส่วนบุคคล)
- แต่ถ้าอยู่ในอาคารที่มีแหล่งแสงหลักเป็นไฟต่างๆ , แสงน้อย รวมไปถึงการถ่ายย้อนแสง ควรต้องยิงแฟลชนะ ถึงจะได้เรื่อง
- การยิงแฟลชถือเป็นสไตล์ที่โดดเด่นของกล้อง Polaroid อยู่แล้ว เฉพาะฉะนั้น..ยิงมันเข้าไป ระยะสักเมตร ถึง 2 เมตรนั้นดีที่สุด
- ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเรารู้ค่ารูรับแสง , ความเร็วชัตเตอร์ที่กล้องทำได้ และค่าไวแสงฟิล์ม เราก็โหลดแอพในมือถืออย่าง myLightmeter ในไอโฟน มาเป็นตัวช่วยก็ได้นะ
- ความเหลื่อมของภาพหรือ Parallax Error มีอยู่พอสมควร แต่ไม่ยาก! โดยหลักๆเป็นความเหลื่อมด้านบน/ล่าง และ ซ้าย/ขวา ง่ายๆคือเวลาถ่ายให้เผื่อเล็งเฟรมขึ้นไปด้านบนหน่อย เพราะเวลาถ่ายออกมาจริงมันจะเหลื่อมมาด้านล่าง และเผื่อขวาเล็กน้อย เพราะมันจะเหลื่อมไปทางซ้ายเล็กน้อยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเหลื่อมทั้งหมดจะแปรผันตามระยะ คือยิ่งใกล้ยิ่งเหลื่อมมาก
เห็นมั๊ยว่า ถ้าเรารู้จักกล้องเราดีแล้ว เราก็สามารถดึงประสิทธิภาพของมันมาใช้ได้โคตรคุ้มเลย
มาดูผลงานกัน
เนื่องจากเราเทสไม่เยอะเท่าไหร่ (ฟิล์มแพงน่ะ ถึงจะเป็นเจ้าของร้านฟิล์ม แต่ก็มีความสามารพิเศษคือจนด้วยนะ) แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก ถ้าใครชอบภาพสี โทนสีของ Polaroid คือเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้ในกล้องตัวไหนเลย โทนอมม่วง เฟดๆ สีไม่จัด คือความต่างสุดขั้วจากฟิล์มของ Fujifilm Instax ทั้งหลาย




ถ้าใครชอบสีตรงๆ ชัดๆ ก็ไปสาย Fujifilm Instax ถ้าใครชอบความคูล ฮิปๆ ถ่ายสีลมเป็นนิวยอร์ค ถ่ายอีพริ้มบ้านปากซอยให้กลายเป็นนางแบบลอนดอนแฟชั่นวีค ก็ต้องเดินสาย Polaroid
สำหรับฟิล์มขาวดำนี่ส่วนตัวชอบมาก เพราะมันให้โทนที่มืดและเหมือนการถ่ายขาวดำโทนแบบพวก Platinum Print ไฮโซวววว ซึ่งต่างกับทาง Fujifilm ที่ล่าสุดเพิ่งออกตัว Instax Wide Monochrome มา ตัวนี้มันไม่มืด ไม่ดาร์คเท่า Polaroid เลย




สรุป
คูลอ่ะ.. สั้นๆ อยากคูลคือต้องใช้ว่ะ สวยจริงอะไรจริงแบบที่ Instant อื่นๆ ฟิล์มอื่นๆ ให้ไม่ได้ ใช้งานก็ง่าย ราคากล้องก็ไม่แพง ข้อเสียเหรอ… ไม่เห็นต้องถาม ฟิล์มแม่งแพงกว่าของ Fujifilm เท่ากว่าๆ แร๊งงง..
ป.ล. ฝากถึงคนที่มักสะบัดภาพเวลามันถ่ายออกมา …รู้ยัง? มันไม่ช่วยให้เร็วขึ้นนะคุ๊นนน 5555
รูปร่างหน้าตา // ★★★★★
(คูลๆอ่ะ )
วัสดุ // ★★★★☆
(พลาสติกล้วน แต่ก็เรียบร้อย งดงามดี)
คุณภาพการถ่าย // ★★★★☆
(มันไม่ใช่ความคม ไม่ใช่สีตรง มันคือสไตล์อ่ะ )
ฟังก์ชั่น // ★★★☆☆
(ก็ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่ครบถ้วน)
คุ้มค่า? // ★★★★☆
(สะพายแล้วหล่อ คือจบนะ)
รีวิว โดย SUN



ผู้สนับสนุนหลัก Husband and Wife Shop
จำหน่ายอุปกรณ์ถ่ายภาพฟิล์มกล้องอุปกรณ์ล้างฟิล์มสแกนฟิล์มและบริการต่างๆ

3 Comments Add yours